วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลากกระเป๋า...ลุยเดี่ยว ฮอกไกโด ตอนที่ 5 : สามพี่น้อง ...ลุยหุบเขานรก

หลัง สนุกสนานอยู่ที่ Date Jidaimura จนเวลาผ่านไปรวดเร็วประมาณ 3 โมงเย็น

ต้องออกเดินทางต่อ ไปยังจุดมึ่งหมายต่อไปจุดท่องเที่ยวที่เป็น แลนด์มาร์ค์ของเมืองนี้

"Jigokudani หุบเขานรกจิโกคุดานิ"

"หุบเขานรกจิโกคุดานิ ชื่ออาจจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ พื้นที่หุบเขาที่ มีบ่อโคลนร้อน บ่อน้ำร้อน ที่เดือดพลุกพล่าน มีกลิ่นกำมะถัน และมีไอร้อนพวยพุ่งตลอดเวลา ถือเป็นความแปลก สวยงามของธรรมชาติที่ทุกคนที่มา โนโบริเบทสึ ต้องมาสัมผัสบรรยากาศ ใครไม่มาถือว่ามาไม่ถึงเมืองนี้อย่างแท้จริง"

กลุ่มของเราออกมารอรถเมล์หน้า  Date Jidaimura สายเดิมที่นั่งมา  เพื่อไปลงยังป้าย โนโบริเบทสึ ออนเซ็น (ป้ายนี้เป็นป้ายใหญ่สุดในเมือง รถเมล์ทุกสายต้องผ่านป้ายนี้) 

ลงรถจะเจอเหมือนศูนย์ท่องเที่ยว หยิบแผนที่มาดู แผนที่แจกแต่ละเมืองของญี่ปุ่น ดูไม่ค่อยรู้เรื่องทุกเมือง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ทางไป หุบเขานรก เดินไปไม่ยากครับ

                                   หมู่บ้านออนเซ็น

จากป้ายรถเมล์ เราเดินตามถนนขึ้นไป เราจะไปเจอ สามแยกครับ  (สามแยกนี้มีเรื่องสนุกของพวกเรา เดี๋ยวจะมาเล่าตอนท้ายๆครับ)



ตรงสามแยกจะมีจุดชม น้ำร้อนใต้ดินที่พวยพุ่งขึ้นมาบนพื้นพิภพ  มีทั้งไอร้อน และกลิ่นกำมะถัน คะคลุ้งครับ (เข้าไปใกล้ๆร้อนมากครับ ขอบอก)

ตรงสามแยก เราจะไป หุบเขานรก เลี้ยวขวาครับ แล้วเดินไปตาม ถนน


เจอยักษ์ โนโบริเบทสึ  มาถูกทางละครับ  เมืองนี้เป็นเมืองแห่งยักษ์ครับ มีรูปปั้นยักษ์อยู่ทั่วไป เดินตามถนนขึ้นไป หุบเขานรก ครับ

"ถึงหุบเขานรก เจอ ทัวร์มาลง เยอะมากครับ คนเพียบ รอถ่ายรูปกับวิวป้าย หุบเขานรก แถมยังเจอ ทัวร์ญี่ปุ่น นิสัยแย่ๆ เรายืนจะถ่ายรูปอยู่ มาไล่เราครับ จะเอา กรุ๊ปทัวร์เขา มาถ่ายรูป วิวตรงที่กลุ่มเรา ยืนอยู่ เลยออกอาการ เซ็งกันนิดนึงครับ"

เราสามคนเลยปรึกษากันว่า เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไป บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ ซึ่งอยู่เลยหุบเขานรกขึ้นไป แล้วค่อยย้อนกลับมาครับ

ตอนนี้ก็หาทางไปกันครับ  ตอนนี้ออกแนวมั่วนิ่มกันอีกรอบ เดินเลยหุบเข้านรกไป นิด มีป้าย ไปบ่อแช่เท้า เป็นทางเดินขึ้นเขาไป ป้ายบอก 1.5 กม. มองหน้ากัน ไหนๆมาแล้วลุยครับ

ทางเดินขึ้นเขาเหนื่อยหน่อยครับ ยิ่งเดินขึ้นไปสูง ป้ายยิ่งหาย ทางเดินยิ่งเล็กลง มองหน้ากันอีกรอบ เอางัย.....น้อง เอ๋ เอม ส่งสายตามาประมาณลุยต่อพี่  เราจึงเดินหน้าต่อ ไป เจอจุดชมวิว ที่สวยงาม สมการเดินลุยขึ้นเขามาครับ (สวยมากเกินจะบรรยายครับ)





ทะเลสาปร้อนที่เห็น มีควันพวยพุ่งตลอดเวลา วิวจุดนี้ สวยงามมากครับ ใครมีโอกาส ทนเดินขึ้นมาหน่อย ไม่ผิดหวังครับ สวยมากจริงๆ   ไม่ค่อยเห็นเว็บท่องเที่ยว แนะนำให้มาจุดนี้กันครับ

ตรงจุดนี้ เราก็มาเจอทางแยกของชีวิต ครับ  เพราะเป็นจุดทางแยก มีทางไปซ้าย ขวา  ซึ่งไม่มีป้ายบอกว่าจะไปต่อทางไหน


ทางขวาเป็นทางใหญ่ มีสะพานไม้ข้ามเขา บรรยากาศดีครับ ออกไปถ่ายรูปเล่นกันหน่อย  แต่ลมแรง หนาวมาก

ผมเลยบอกน้องๆ ไปตามสะพานนะจะเป็นทางที่ไป บ่อแช่เท้า แต่ เอ๋มาแย้งไว้ บอกดูแผนที่รวมๆ ไอ้ตรงจุดชมวิว น่าจะไปทางซ้ายนะพี่ สรุปเลยตัดสินใจไปทางซ้าย เป็นทางเดินเล็กๆบนเขา เดินไป ทะลุ ถนน เดินผ่านถนน ลงทางลงเขา สมบุกสมบันพอควร เกือบกิโล


มาเจอบ่อน้ำร้อน อันนี้ครับ กลิ่นกำมะถันแรงมาก เจอ เจ๊คนญี่ปุ่นที่มาก่อนหน้าเราคน บอก บ่อนี้ร้อน 100 องศาเลยนะ อืมน่าจะใช่อยู่นะเจ๊ เพราะไอร้อนมาปะทะหน้าตลอดเวลา

จากนั้นเดินไป สักพักใหญ่ๆ ก็ถึงจุดหมายของเราครับ (เดินมาเกือบ 2 โกิโลข้ามเขามาครับ)


                                    บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ 



พักเหนื่อย แช่เท้า น้ำอุ่นๆ สบายดีครับ แต่เป็นน้ำขุ่นๆ มีกลิ่นกำมะถันแรง ไม่เหมือน น้ำตกร้อนบ้านเราครับ ที่น้ำใสๆ

นั่งแช่เท้าอุ่นๆ เห็นมีทางเดินต่อไป และคนที่มานั่งแช่เท้าทุกๆคน เดินต่อไปทางนั้นครับ เลยตัดสินใจเดินต่อไปทางเดิน ที่เห็น

เดินสักพักมาทะลุ ถนนใหญ่ และมีแผนที่บอกเป็นทางกลับไป หมู่บ้านออนเซ็นครับ

เราเดินตามถนนกันไปสักพัก เจอเจ้ายักษ์ พ่อ ลูก เลยถ่ายภาพกันหน่อย


เดินตามถนนต่อไปสักพัก อย่างที่บอกไว้ตอนแรกครับ  ถนนนี้มันไป บรรจบกับสามแยกแรก ที่เราเจอที่หมู่บ้าน ออนเซ็นครับ ตอนแรกเราเลี้ยวขวา ไป หุบเขานรก ถ้าเราเลี้ยวซ้าย เดินประมาณ เกือบกิโล ก็จะไปถึง บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ ครับ

"เรา 3 คน ได้แต่มองหน้า แล้วหัวเราะกันครับ เพราะเราดัน ขึ้นเขาอ้อมไป ซะไกล เดินประมาณ 2 กิโลได้ครับ ไปบ่อแช่เท้า ทั้งที่ ถ้าเราเลี้ยวซ้ายไป ทางที่เรากลับมาไปใกล้กว่าเยอะครับ แต่เราไม่รู้กัน แต่ก็แลกกับ ได้ วิวสวยๆ บนเขา มาแทนครับ" ใครไม่อยากเดินไกล ก็ สามแยกแรก เลี้ยวซ้ายครับ จำทางไว้ 555

เราย้อนกลับไปที่ หุบเขานรก ก็ประมาณ 17.30 น. แล้ว ทัวร์ไปเกือบหมดแล้วครับ ถ่ายรูปกันตามสบาย




จุดฮิตต้องมาถ่ายภาพครับ

กว่าจะถ่ายรูปเสร็จ ก็เกือบ จะ 6 โมงเย็นแล้ว ตอนแรกว่าจะแวะ กินไอติมที่หมู่บ้าน ออนเซ็นกัน แต่ เช็ครถไฟกลับ Sapporo มีเที่ยวเวลา 18.36 น. ถ้าพลาดต้องรออีกเที่ยว 19.40 น. เลยครับ กลัวกลับดึก เด่ว 2 สาวไม่มีรถกลับ โอตารุ เลยรีบไปขึ้นรถเมล์ เที่ยว 18.15 น. ออกไป สถานีรถไฟ ถึงตอน 18.30 น.

รีบเข้าชานชลาไปขึ้นรถไฟ JR กลับเวลา 18.36 น. รถไฟมาตรงเวลาเปะ

รถเที่ยวกลับของเราเป็น รถ LTD. EXP SUZURAN จาก HIGASHI-MURORAN ไป ซับโปโร รถดูไฮโซ กว่าสาย ฮาโกดาเตะ ตอนมาครับ  ตู้แบบไม่จอง ว่างมาก สุดๆ เราเลยเลือก นั่งเดี่ยวริมหน้าต่างๆ กันคนละที่เลยครับ 



ถึงซับโปโร 19.52 น. พา 2 สาวไปหยอดตู้ กาชาปอง ที่ตึก ESTA แล้วก็ถึงเวลาต้องแยกจาก สองสาว เอ๋ เอม ครับ เพราะต้องรีบกลับโอตารุ เดี๋ยวดึกมากรถไฟหมด  (ซึ่งหลังจากนั้น เอ๋บอกว่าจริงๆแล้ว รถไฟไป โอตารุมันมีถึงเที่ยงคืน เป็นรถ Local  แต่ไม่รู้ เลยรีบกลับ 55)

"ก่อนกลับ สองสาวแนะนำ สุดยอดขนมที่ สถานี JR Sapporo ที่ผมยังไม่เจอใครมาแนะนำนะครับ
 ขนมที่ว่า คือ ทาร์ตชีส 
เหมือน ทาร์ตไข่บ้านเรา แต่เป็นใส้ชีสล้วนๆครับ ชีสฮอกไกโดขึ้นชื่อความอร่อยอยู่แล้วครับ มาทำเป็นขนมทาร์ตอีก อร่อย น่ากินมากครับ"

"ร้านอยู่ตรงใกล้ๆทางออก North ฝั่งที่มี ร้านกาแฟ สตาร์บัค นะครับ ไปลองชิมกันได้






2 สาวเล่าว่า เจอร้านนี้ เพราะไปซื้อกาแฟ สตาร์บัค แล้วเห็นคนญี่ปุ่นต่อแถวยาวมากซื้อของ เลยสงสัยร้านนี้ขายอะไร เลยเดินไปดู เห็นขาย ทาร์ตชีส เลยอยากลอง ไปต่อแถวมั่ง พอได้กิน ติดใจ น้อง เอม ซื้อกลับมา 6 กล่อง (แต่เอากลับลำบาก เพราเวลาขึ้นเครื่องต้องวางบนตักกลัวขนมเละ) 


หลังจากทริปวันนี้ได้ 2 สาวมาสร้างสีสัน ก็ถึงเวลาลุยเดี่ยวกันต่อ จุดมุ่งหมายต่อไป กินบุฟเฟ่ต์ ขาปูยักษ์ทาราบะ ที่ ร้านนันดะ  ร้านยอดนิยมของคนไทย




ร้านนันดะ อยู่ชั้น B ตึก Cyber City ซูซูกิโน ครับ จาก สถานนีซับโปโร ผมเลือกนั่ง Subway สาย Toho ลงสถานี Hosui Susukino ออกทางออก 4 เดินไปนิดเดียวถึงร้าน

ถึงร้าน 20.30 น. แล้วครับ  บุฟเฟ่ต์ ราคาคนละ 3,980 เยน มีเวลาให้กิน 90 นาที  

ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเพราะ 90 นาทีเหมือนนาน แต่จริงๆ ถ้ามาคนเดียวไม่พอครับ ปิ้งปู แกะปู ใช้เวลานานอยู่ ที่นี้ไม่ได้มีเฉพาะปูนะครับ อาหารอื่นๆ เยอะมาก แต่กินได้ไม่กี่อย่าง เพราะแกะไอ้ปู ทาราบะนะครับ






มีคู่มือแกะปู ภาษาไทยให้ด้วยครับ

"ตามความเห็นส่วนตัว ผมว่าทั้ง ปูทาราบะ ปูหิมะ ปูขน  ผมกินแล้วเฉยๆ สู้กิน ปูม้า ปูไข่ ปูเนื้อ บ้านเราไม่ได้ ไม่ถึงขนาดต้องดั้นด้นไปกินนะครับ   
แต่ที่อยากแนะนำที่ร้านนี้คือ เนื้อแกะ ครับ เนื้อแกะที่นี่ นุ่ม อร่อย ไม่มีกลิ่นครับ ย่างจิ้มซอสกินกับข้าวร้อนๆ + น้ำซุปปู อร่อยมาก ช่วงท้ายๆ ผมย่างเนื้อแกะ กินอย่างเดียวเลย ทั้งแบบสด และแบบปรุงรส ฟินกว่าปูเยอะครับ

หลังกินบุฟเฟ่ต์ ไปเดินย่อยอาหาร ชมแสงสี ที่ย่านซูซูกิโนครับ บรรยากาศสีสัน สวยงามครับ







ประมาณ 5 ทุ่ม  นั่ง รถใต้ดินกลับโรงแรมครับ


บรรยากาศ รถไฟใต้ดิน ตอน 5 ทุ่มกว่าๆ คนบางตาครับ

ทางเชื่อม รถใต้ดิน ไป  JR Sapporo คึกคักขึ้นอีกหน่อย

ถึงโรงแรม เปิดน้ำอุ่น แช่ สักหน่อย กว่าจะได้นอน เที่ยงคืนกว่าๆครับ

จบไปอีก 1 วัน

ติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 6 ....ตามล่าซากุระ ภาคสอง ที่ ซับโปโรครับ

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลากกระเป๋า...ลุยเดี่ยว ฮอกไกโด ตอนที่ 4 : มิตรภาพเบ่งบาน..ที่เมืองแห่งออนเซ็น..โนโบริเบทสึ

เช้าวันที่ 10 พ.ค. วันที่ 2 ในฮอกไกโด


สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดที่ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา คิดในใจว่า  สายแล้ว รีบเด้งขึ้นจากเตียงดูนาฬิกา

เฮ้ย อะไรอะ "ขณะนี้เวลา ตี 4 กับอีก 45 นาที " หน้านี้ที่ญี่ปุ่นเช้าเร็วครับ ตี 5 แดดออกเหมือนบ้านเรา 7 โมงเช้า  นอนต่ออีกแปบบ แล้วต่อยตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปลงฟัน


ความพิเศษของโรงแรมในเครือ Toyoko Inn คือ มีอาหารเช้าให้เรากินครับ สบายไปอีกมื้อ ซึ่งเป็นอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นครับ โรงแรมนี้ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นพักครับ ต่างชาติน้อยมาก ที่นั่งกินข้าวไม่ค่อยพอ ต้องนั่งรวมกับคนอื่นๆครับ เพราะเป็น โรงแรมเล็กๆ 



หน้าตาอาหารเช้าครับ น่ากินมั้ยครับ เป็นแบบให้เราตักเอง ครับ แต่เห็นคนญี่ปุ่นตักกันแค่ครั้งเดียว เลยไม่กล้าตักอีกรอบ

สำหรับวันนี้เป็นปลาแซลมอลย่าง ไข่หวาน สปาเก็ตตี้ ข้าวคลุก อะไรไม่รู้ครับ แต่อร่อยมาก กับซุปมิโซ และมีขนมปัง เนย หรือแยม ครับ "'งานนี้กินแบบญี่ปุ่นจ๋าครับ เพราะมีตะเกียบให้อย่างเดียวไม่มีช้อน ไอ้สปาเกตตี้ในรูปข้างไข่หวาน คีบไม่ได้ครับมันลื่น เลยอดกิน " ตบท้ายด้วยกาแฟ 1 แก้ว ฟินกันไปไม่เสียตังเพิ่ม


"สำหรับวันนี้เราจะไปเมือง โนโบริเบทสึ เมืองแห่งออนเซ็น นั่งรถไฟจากซับโปโรไปประมาณ     1 ชม. 15 นาที  ซึ่งตอนแรกคิดว่า ถ้าไม่ไปแช่ออนเซ็น คงจะไม่มีอะไรเที่ยวมาก แต่ต้องไปเพราะมันใกล้ ซับโปโร แต่พอไปเมืองนี้มีเสน่ห์ น่าสนใจว่าที่คิดไว้ครับ"



ถึง สถานี้ JR Sapporo ประมาณ 8 โมงกว่าๆ  (รูปสถานีใช้ภาพเก่านะครับ) วันนี้ยัง 10 องศาเหมือนเดิมครับ แต่รู้ทันแล้ว ใส่เสื้อ 3 ชั้น พกพาพันคอไปเผื่อครับ

"สำหรับการเดินทางไป โนโบริเบทสึ โดยไม่ใช้ JR PASS แนะนำให้ซื้อตั๋วแบบไป - กลับ ครับ จะได้ลดราคาจากปกติ ไป- กลับ จาก 7,920 เยน เหลือเพียง  4,160 เยน เข้าไปซื้อที่ห้องขายตัว บอก Round-Trip Noboribetsu  จะได้ตั๋วมา 2 ใบ ใบหนึ่งใช้นั่งรถไป อีกใบใช้นั่งรถกลับครับ"

ได้ตั๋วแล้วก็ไปโลดครับ วิธีหาว่าจะขึ้นรถชานชลาไหน ง่ายสุดคือ เดินไปที่ Information ตรงประตูทางเข้า ยื่นตั๋วให้ดูถามเลยครับ ขึ้นชานไหน เด่วเจ้าหน้าที่บอกเอง ง่ายสุด

รถที่เราขึ้นไปวันนี้เป็นรถด่วน LTD. EXP HOKUTO  ไปฮาโกดาเตะครับ ออกเวลา 8.34 น. ตั๋วเรานั่งตู้แบบ Non-reserved เหมือนเดิมครับ ขึ้นให้ถูกตู้ จะมีเขียนไว้ข้างตู้ทุกตู้ครับ ก่อนไปซื้อน้ำ ขนมในสถานีรองท้องหน่อย "รถไฟข้ามเมืองในญี่ปุ่น เหมือนบ้านเรา คือซื้อขนม ซื้อข้าวขึ้นไปกินบนรถได้ครับ ตามสบาย และมีข้าวกล่อง น้ำ ขนม ขายบนรถครับ ไม่ต้องกลัวอด"

ตู้ Non-reserved คนน้อยครับ ว่างมากเลือกนั่งตามสบาย ได้นั่งคนเดียว ชิวๆครับ ถ้ามาหลายคนหันเบาะเข้าหากันได้ครับ



 ริมหน้าต่างมีที่วางน้ำ ขนมที่ซื้อมาครับ วางปุ๊บ เหมือนคนญี่ปุ่นปั๊บ


ที่นั่งฝั่งละ 2 คนครับ


 8.34 น. รถออกตรงเวลาเปะสุดๆ สไตล์ยุ่นเค้าละ

รถไฟผ่านเมือง ป่าเขา ริมทะเล วิวสวยดี

 โนโบริเบทสึ ต้องลงกลางทาง แต่ไม่ต้องกลัวเลย เพราะมีภาษาอังกฤษประกาศตลอดทาง ประมาณ รถไฟขบวนนี้วิ่งไป ฮาโกดาเตะ ผ่านสถานีอะไรบ้าง  สถานีหน้า คือสถาานี...... เตือนเป็นระยะ


ที่เห็นอยู่ลิบๆ เลยถนนไป คือ ทะเล ครับ


 น้องขายขนม ขายข้างกล่องครับ บนรถครับ มีให้เลือกมากมาย



ประมาณ 9.51 น. ถึงโนโบริเบทสึ พร้อมฝนตกปรอยๆ ครับ ยิ่งหนาวขึ้นไปอีก

ถึงสถานีมั่นใจมาก เราศึกษาหนังสือมาแล้ว ออกไปป้ายรถเมล์ ขึ้นรถไปเที่ยวเลยครับ พอไปถึงต้องเจอกับความมึนครับ เพราะในหนังสือบอก มีรถเมล์ 4 สาย คือ NA NB NC ND แต่ของจริงรถมันเหมือนกันทุกสาย เป็นรถเมล์สีเขียวหมด หน้ารถเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่มี NA NB สักตัว ฝนก็ตก หนาวก็หนาว กลับไปตั้งหลักในสถานี โนโบรึเบทสึก่อน ดีกว่า ยังงัยก็อุ่นกว่าข้างนอก


กลับเข้าไปในสถานี เจอน้องผู้หญิง 2 คน กำลังคุยกันเรื่องไปเที่ยวในโนโบริเบทสึ เป็นภาษาไทยแววมา คงงงเหมือนกัน คิดในใจเอาวะ งานนี้ต้องหาแนวร่วมมาช่วยกันหลง เลยเนียนๆให้น้องช่วยถ่ายรูป แล้วชวนคุยเรื่องขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวในเมืองนี้

"คนเราบ้างครั้ง เหมือนเค้ากำหนดมาให้ต้องรู้จักกัน คุยกับน้องได้สักพัก รู้สึกถึงมิตรภาพที่ก่อกำเนิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความเขอะเขินเริ่มหายไป กลายเป็นการปรึกษาหารือ เรื่องนั่งรถไปที่เที่ยว จนสุดท้ายตัดสินใจที่จะ ไปเที่ยวด้วยกัน 3 คนในวันนี้"

น้องเอ๋ และเอม คือเพื่อนร่วมชะตากรรมกันในวันนี้ (จริงๆ เราขึ้น Air Asia X มาไฟร์ทเดียวกัน แต่เพิ่งเจอกันที่นี่ เพราะน้องพักที่ โอตารุ)  จุดแรกที่เราจะไปคือ Date Jidaimura หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ โชคดีที่ เอมขอตารางรถเมล์มา เราเลยรอรถที่จะผ่าน Date Jidaimura  ที่จะมาจอดป้ายในตอน 10.30 น. ซึ่งรถก็มาตามเวลาเปะมากครับ รถเมล์ญี่ปุ่น

"วิธีขึ้นรถเมล์ในโนโบริเบทสึ ทางขึ้นจะอยู่ด้านหลัง ทางลงอยู่ด้านหน้า ก่อนขึ้นจะมีตั๋วเล็กๆให้หยิบก่อนขึ้นไปนั่ง และดูเลขที่ตั๋วว่าเลขอะไร เช่น 3 ตอนจะลงก็ให้ดูป้ายอิเลคโทนิคที่หน้ารถในช่องเบอร์ 3 มันจะขึ้นราคาค่ารถที่ต้องจ่าย ก่อนลงก็หยอดเหรียญตามราคาที่กล่องข้างคนขับ ถ้าไม่มีเหรียญ ใกล้กล่องหยอดเงินจะมีที่ใส่แบงก์ให้แลกเงิน แล้วค่อยเอาเงินไปหยอดตู้ แรกๆ จะงงหน่อย ขึ้น 2-3 ทีจะชิน"


นั่งรถเมล์ได้แปบนึ่ง (แปบนึ่งจริงๆ) ก็ถึงไวมาก ทำไมในรีวิวมันนั่งหลายป้าย  มาซื้อตั๋วเข้า  Date Jidaimura ราคา 2900 เยน แต่เดี๋ยวก่อน น้องเอ๋

ปริ้นท์ คูปองส่วนลดมา เลยได้ลดเหลือ คนละ 2700 เยน 


ก่อนเข้าถ่ายรูปกันซะหน่อย วันนั้ ฝนตกๆ หยุดๆ เลยขอยืมร่มเขียวๆ มาจาก สถานนีรถไฟครับ



บรรยากาศข้างใน เหมือนอยู่ในหนังญี่ปุ่น ยุคโบราณ




หันไปเห็น นินจาครับ


งานนี้เลยขอปะมือกับนินจาตัวจริงหน่อย

"คนไทยเจนนี้ ไปเที่ยวไหนเราต้องทำอะไรครับ"
               บอกให้ก็ได้ "เราต้องโดดดดดครับ"


โดดที่ญี่ปุ่น สำเร็จแล้ว 555







เพลิดเพลินกับบรรยากาศ หมู่บ้านจำลองครับ  

แต่ขอบอก ที่นี่ลมแรงมาก เพราะอยู่ในเขา บวกกับฝนตกอีก หนาวสุดบรรยาย 



เดินได้แปบ ฝนตกอีกแล้ว สุดๆ ไปเลย ตึกนี้คือ 1 ในโรงละครครับ




แวะบ้านนินจา ได้ใจมากครับ เจอทั้งพื้นเอียง ประตูกล ประตูลับ กำแพงหมุน มันมาก ใครไปต้องเข้าให้ได้ครับ

แถมน้องสาวที่น่ารักของเรา ยังเป็นพวกชอบเปิดประตูครับ เห็นประตูไม่ได้ เปิดหมด เจอทั้งประตูตู้ไฟ ประตูห้องเก็บของ ฮากันไป





บ้านผีญี่ปุ่น หาความน่ากลัวไม่เจอ

ไฮไลท์ ของ Date Jidaimura คือโชว์ต่างๆครับ ต้องดูให้ครบ คุ้มค่ามาก จะมีแสดงต่อเนื่องกันไปเป็นรอบๆ ตามลำดับ ซึ่งมีตารางเวลาโชว์แจกมาพร้อม บัตรเข้าตอนแรก ครับ



การแสดงโชว์นินจา ทั้งสนุก ตื่นเต้น และฮามากๆครับ  เน้นถ่ายวิดีโอเลยมีแค่รูปเดียวครับ





การแสดง โออิรัน ที่ให้คนดู มาร่วมแสดง 1 คน เรียกความสนุก และความอ่อนช้อยของการร่ายรำของญี่ปุ่นครับ





การแสดงเรื่อง 2 สิงห์นักสืบครับ 

ทุกการแสดงมี เนื้อเรื่องเป็นภาษาไทยแจกให้อ่านนะครับ ไม่ต้องกลัวดูไม่รู้เรื่อง ย้ำนะครับว่าเป็นภาษาไทย







จบการแสดงออกมาเดินเที่ยว วังจำลอง ที่มีสวนญี่ปุ่นสวยงาม ในบรรยากาศฝนปรอยๆ

เที่ยวสักพัก ท้องเริ่มหิว + อากาศหนาว เลยตัดสินใจหาราเมงร้อนๆ กินกัน ซึ่งเห็นร้านอยู่ตรงทางเข้า 



น้ำตักกันฟรีครับ จะเอาน้ำเย็น ชาร้อน  ชาเขียวร้อน เลือกตามสะดวก นาทีนี้ต้องชาร้อนอย่างเดียวครับ



ขอดีของญี่ปุ่นคือ อาหารไม่มีชาร์จครับ ถึงร้านจะอยู่ใน แหล่งท่องเที่ยวที่ซื้อบัตรเข้า 

ราเมงชามนี้ประมาณ 850 เยน ราคาปกติครับ แต่หมูน้อยชิ้นไปหน่อย 

"และยังพบเจอกันทั่วไป คือน้องคนเสิร์ฟ ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเช่นเดิม น้องสาวในกลุ่ม ไม่กินต้นหอม เลยบอกว่า No vegetable น้องแกทำหน้า งง ไม่เข้าใจ เลยต้องเลยตามเลย"




แต่น้องน่ารักครับ ผมเลยให้อภัย วันหลังพี่จะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นมานะ  น้องเค้าทำทุกหน้าที่ครับ รับออเด้อ เสิร์ฟ คิดเงิน ล้างจานด้วย สุดยอดจริงๆ




การแสดงสุดท้าย ของวัน โชว์กลางแจ้ง อลังการ มาดูไม่ทันครับ เพราะมั่วแต่กินราเมง มาถึง จบแล้ว



ที่นี้มีชุดญี่ปุ่น ให้เช่าใส่ได้ตั้งแต่เข้ามาเที่ยวเลยนะครับ แต่น้องเอ๋เรา ดันเพิ่งรู้ เลยเช่ามาใส่ซะหน่อยตอนจะกลับแล้วอะครับ




 ส่วนน้องเอม ของเรา ชีอยากกินไอติม ฮอกไกโด ขนาดหนาวสุดๆ ในวันนั้น ชีก็ บ่ยั่นครับ 




 ส่วนพี่ชายคนโต ก็ไปเที่ยว ศาลเจ้าแมวกวักครับ





สุดท้ายนักแสดง ออกมาให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันครับ

วันนั้นใช้เวลาอยู่ที่ Date Jidaimura กันหลายชั่วโมง อินกันมากกับที่นี่ครับ เพราะทุกคนชอบบรรยากาศ ญี่ปุ่นโบราณ กับการแสดงต่างๆ  

ขอจบตอน 4 ก่อนนะครับ ติดตามตอนที่ 5 ..........สามสหาย...ลุยหุบเขานรก ต่อไปครับ