หลัง สนุกสนานอยู่ที่ Date Jidaimura จนเวลาผ่านไปรวดเร็วประมาณ 3 โมงเย็น
ต้องออกเดินทางต่อ ไปยังจุดมึ่งหมายต่อไปจุดท่องเที่ยวที่เป็น แลนด์มาร์ค์ของเมืองนี้
"Jigokudani หุบเขานรกจิโกคุดานิ"
"หุบเขานรกจิโกคุดานิ ชื่ออาจจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ พื้นที่หุบเขาที่ มีบ่อโคลนร้อน บ่อน้ำร้อน ที่เดือดพลุกพล่าน มีกลิ่นกำมะถัน และมีไอร้อนพวยพุ่งตลอดเวลา ถือเป็นความแปลก สวยงามของธรรมชาติที่ทุกคนที่มา โนโบริเบทสึ ต้องมาสัมผัสบรรยากาศ ใครไม่มาถือว่ามาไม่ถึงเมืองนี้อย่างแท้จริง"
กลุ่มของเราออกมารอรถเมล์หน้า Date Jidaimura สายเดิมที่นั่งมา เพื่อไปลงยังป้าย โนโบริเบทสึ ออนเซ็น (ป้ายนี้เป็นป้ายใหญ่สุดในเมือง รถเมล์ทุกสายต้องผ่านป้ายนี้)
ลงรถจะเจอเหมือนศูนย์ท่องเที่ยว หยิบแผนที่มาดู แผนที่แจกแต่ละเมืองของญี่ปุ่น ดูไม่ค่อยรู้เรื่องทุกเมือง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ทางไป หุบเขานรก เดินไปไม่ยากครับ
หมู่บ้านออนเซ็น
จากป้ายรถเมล์ เราเดินตามถนนขึ้นไป เราจะไปเจอ สามแยกครับ (สามแยกนี้มีเรื่องสนุกของพวกเรา เดี๋ยวจะมาเล่าตอนท้ายๆครับ)
ตรงสามแยกจะมีจุดชม น้ำร้อนใต้ดินที่พวยพุ่งขึ้นมาบนพื้นพิภพ มีทั้งไอร้อน และกลิ่นกำมะถัน คะคลุ้งครับ (เข้าไปใกล้ๆร้อนมากครับ ขอบอก)
ตรงสามแยก เราจะไป หุบเขานรก เลี้ยวขวาครับ แล้วเดินไปตาม ถนน
เจอยักษ์ โนโบริเบทสึ มาถูกทางละครับ เมืองนี้เป็นเมืองแห่งยักษ์ครับ มีรูปปั้นยักษ์อยู่ทั่วไป เดินตามถนนขึ้นไป หุบเขานรก ครับ
"ถึงหุบเขานรก เจอ ทัวร์มาลง เยอะมากครับ คนเพียบ รอถ่ายรูปกับวิวป้าย หุบเขานรก แถมยังเจอ ทัวร์ญี่ปุ่น นิสัยแย่ๆ เรายืนจะถ่ายรูปอยู่ มาไล่เราครับ จะเอา กรุ๊ปทัวร์เขา มาถ่ายรูป วิวตรงที่กลุ่มเรา ยืนอยู่ เลยออกอาการ เซ็งกันนิดนึงครับ"
เราสามคนเลยปรึกษากันว่า เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไป บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ ซึ่งอยู่เลยหุบเขานรกขึ้นไป แล้วค่อยย้อนกลับมาครับ
ตอนนี้ก็หาทางไปกันครับ ตอนนี้ออกแนวมั่วนิ่มกันอีกรอบ เดินเลยหุบเข้านรกไป นิด มีป้าย ไปบ่อแช่เท้า เป็นทางเดินขึ้นเขาไป ป้ายบอก 1.5 กม. มองหน้ากัน ไหนๆมาแล้วลุยครับ
ทางเดินขึ้นเขาเหนื่อยหน่อยครับ ยิ่งเดินขึ้นไปสูง ป้ายยิ่งหาย ทางเดินยิ่งเล็กลง มองหน้ากันอีกรอบ เอางัย.....น้อง เอ๋ เอม ส่งสายตามาประมาณลุยต่อพี่ เราจึงเดินหน้าต่อ ไป เจอจุดชมวิว ที่สวยงาม สมการเดินลุยขึ้นเขามาครับ (สวยมากเกินจะบรรยายครับ)
ตรงจุดนี้ เราก็มาเจอทางแยกของชีวิต ครับ เพราะเป็นจุดทางแยก มีทางไปซ้าย ขวา ซึ่งไม่มีป้ายบอกว่าจะไปต่อทางไหน
ทางขวาเป็นทางใหญ่ มีสะพานไม้ข้ามเขา บรรยากาศดีครับ ออกไปถ่ายรูปเล่นกันหน่อย แต่ลมแรง หนาวมาก
ผมเลยบอกน้องๆ ไปตามสะพานนะจะเป็นทางที่ไป บ่อแช่เท้า แต่ เอ๋มาแย้งไว้ บอกดูแผนที่รวมๆ ไอ้ตรงจุดชมวิว น่าจะไปทางซ้ายนะพี่ สรุปเลยตัดสินใจไปทางซ้าย เป็นทางเดินเล็กๆบนเขา เดินไป ทะลุ ถนน เดินผ่านถนน ลงทางลงเขา สมบุกสมบันพอควร เกือบกิโล
มาเจอบ่อน้ำร้อน อันนี้ครับ กลิ่นกำมะถันแรงมาก เจอ เจ๊คนญี่ปุ่นที่มาก่อนหน้าเราคน บอก บ่อนี้ร้อน 100 องศาเลยนะ อืมน่าจะใช่อยู่นะเจ๊ เพราะไอร้อนมาปะทะหน้าตลอดเวลา
จากนั้นเดินไป สักพักใหญ่ๆ ก็ถึงจุดหมายของเราครับ (เดินมาเกือบ 2 โกิโลข้ามเขามาครับ)
บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ
นั่งแช่เท้าอุ่นๆ เห็นมีทางเดินต่อไป และคนที่มานั่งแช่เท้าทุกๆคน เดินต่อไปทางนั้นครับ เลยตัดสินใจเดินต่อไปทางเดิน ที่เห็น
เดินสักพักมาทะลุ ถนนใหญ่ และมีแผนที่บอกเป็นทางกลับไป หมู่บ้านออนเซ็นครับ
เราเดินตามถนนกันไปสักพัก เจอเจ้ายักษ์ พ่อ ลูก เลยถ่ายภาพกันหน่อย
เดินตามถนนต่อไปสักพัก อย่างที่บอกไว้ตอนแรกครับ ถนนนี้มันไป บรรจบกับสามแยกแรก ที่เราเจอที่หมู่บ้าน ออนเซ็นครับ ตอนแรกเราเลี้ยวขวา ไป หุบเขานรก ถ้าเราเลี้ยวซ้าย เดินประมาณ เกือบกิโล ก็จะไปถึง บ่อแช่เท้าธรรมชาติ โอยุนุมะ ครับ
"เรา 3 คน ได้แต่มองหน้า แล้วหัวเราะกันครับ เพราะเราดัน ขึ้นเขาอ้อมไป ซะไกล เดินประมาณ 2 กิโลได้ครับ ไปบ่อแช่เท้า ทั้งที่ ถ้าเราเลี้ยวซ้ายไป ทางที่เรากลับมาไปใกล้กว่าเยอะครับ แต่เราไม่รู้กัน แต่ก็แลกกับ ได้ วิวสวยๆ บนเขา มาแทนครับ" ใครไม่อยากเดินไกล ก็ สามแยกแรก เลี้ยวซ้ายครับ จำทางไว้ 555
เราย้อนกลับไปที่ หุบเขานรก ก็ประมาณ 17.30 น. แล้ว ทัวร์ไปเกือบหมดแล้วครับ ถ่ายรูปกันตามสบาย
จุดฮิตต้องมาถ่ายภาพครับ
กว่าจะถ่ายรูปเสร็จ ก็เกือบ จะ 6 โมงเย็นแล้ว ตอนแรกว่าจะแวะ กินไอติมที่หมู่บ้าน ออนเซ็นกัน แต่ เช็ครถไฟกลับ Sapporo มีเที่ยวเวลา 18.36 น. ถ้าพลาดต้องรออีกเที่ยว 19.40 น. เลยครับ กลัวกลับดึก เด่ว 2 สาวไม่มีรถกลับ โอตารุ เลยรีบไปขึ้นรถเมล์ เที่ยว 18.15 น. ออกไป สถานีรถไฟ ถึงตอน 18.30 น.
รีบเข้าชานชลาไปขึ้นรถไฟ JR กลับเวลา 18.36 น. รถไฟมาตรงเวลาเปะ
รถเที่ยวกลับของเราเป็น รถ LTD. EXP SUZURAN จาก HIGASHI-MURORAN ไป ซับโปโร รถดูไฮโซ กว่าสาย ฮาโกดาเตะ ตอนมาครับ ตู้แบบไม่จอง ว่างมาก สุดๆ เราเลยเลือก นั่งเดี่ยวริมหน้าต่างๆ กันคนละที่เลยครับ
ถึงซับโปโร 19.52 น. พา 2 สาวไปหยอดตู้ กาชาปอง ที่ตึก ESTA แล้วก็ถึงเวลาต้องแยกจาก สองสาว เอ๋ เอม ครับ เพราะต้องรีบกลับโอตารุ เดี๋ยวดึกมากรถไฟหมด (ซึ่งหลังจากนั้น เอ๋บอกว่าจริงๆแล้ว รถไฟไป โอตารุมันมีถึงเที่ยงคืน เป็นรถ Local แต่ไม่รู้ เลยรีบกลับ 55)
"ก่อนกลับ สองสาวแนะนำ สุดยอดขนมที่ สถานี JR Sapporo ที่ผมยังไม่เจอใครมาแนะนำนะครับ
ขนมที่ว่า คือ ทาร์ตชีส
เหมือน ทาร์ตไข่บ้านเรา แต่เป็นใส้ชีสล้วนๆครับ ชีสฮอกไกโดขึ้นชื่อความอร่อยอยู่แล้วครับ มาทำเป็นขนมทาร์ตอีก อร่อย น่ากินมากครับ"
"ร้านอยู่ตรงใกล้ๆทางออก North ฝั่งที่มี ร้านกาแฟ สตาร์บัค นะครับ ไปลองชิมกันได้
2 สาวเล่าว่า เจอร้านนี้ เพราะไปซื้อกาแฟ สตาร์บัค แล้วเห็นคนญี่ปุ่นต่อแถวยาวมากซื้อของ เลยสงสัยร้านนี้ขายอะไร เลยเดินไปดู เห็นขาย ทาร์ตชีส เลยอยากลอง ไปต่อแถวมั่ง พอได้กิน ติดใจ น้อง เอม ซื้อกลับมา 6 กล่อง (แต่เอากลับลำบาก เพราเวลาขึ้นเครื่องต้องวางบนตักกลัวขนมเละ)
หลังจากทริปวันนี้ได้ 2 สาวมาสร้างสีสัน ก็ถึงเวลาลุยเดี่ยวกันต่อ จุดมุ่งหมายต่อไป กินบุฟเฟ่ต์ ขาปูยักษ์ทาราบะ ที่ ร้านนันดะ ร้านยอดนิยมของคนไทย
ร้านนันดะ อยู่ชั้น B ตึก Cyber City ซูซูกิโน ครับ จาก สถานนีซับโปโร ผมเลือกนั่ง Subway สาย Toho ลงสถานี Hosui Susukino ออกทางออก 4 เดินไปนิดเดียวถึงร้าน
ถึงร้าน 20.30 น. แล้วครับ บุฟเฟ่ต์ ราคาคนละ 3,980 เยน มีเวลาให้กิน 90 นาที
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเพราะ 90 นาทีเหมือนนาน แต่จริงๆ ถ้ามาคนเดียวไม่พอครับ ปิ้งปู แกะปู ใช้เวลานานอยู่ ที่นี้ไม่ได้มีเฉพาะปูนะครับ อาหารอื่นๆ เยอะมาก แต่กินได้ไม่กี่อย่าง เพราะแกะไอ้ปู ทาราบะนะครับ
"ตามความเห็นส่วนตัว ผมว่าทั้ง ปูทาราบะ ปูหิมะ ปูขน ผมกินแล้วเฉยๆ สู้กิน ปูม้า ปูไข่ ปูเนื้อ บ้านเราไม่ได้ ไม่ถึงขนาดต้องดั้นด้นไปกินนะครับ
แต่ที่อยากแนะนำที่ร้านนี้คือ เนื้อแกะ ครับ เนื้อแกะที่นี่ นุ่ม อร่อย ไม่มีกลิ่นครับ ย่างจิ้มซอสกินกับข้าวร้อนๆ + น้ำซุปปู อร่อยมาก ช่วงท้ายๆ ผมย่างเนื้อแกะ กินอย่างเดียวเลย ทั้งแบบสด และแบบปรุงรส ฟินกว่าปูเยอะครับ
หลังกินบุฟเฟ่ต์ ไปเดินย่อยอาหาร ชมแสงสี ที่ย่านซูซูกิโนครับ บรรยากาศสีสัน สวยงามครับ
ประมาณ 5 ทุ่ม นั่ง รถใต้ดินกลับโรงแรมครับ
บรรยากาศ รถไฟใต้ดิน ตอน 5 ทุ่มกว่าๆ คนบางตาครับ
ทางเชื่อม รถใต้ดิน ไป JR Sapporo คึกคักขึ้นอีกหน่อย
ถึงโรงแรม เปิดน้ำอุ่น แช่ สักหน่อย กว่าจะได้นอน เที่ยงคืนกว่าๆครับ
จบไปอีก 1 วัน
ติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 6 ....ตามล่าซากุระ ภาคสอง ที่ ซับโปโรครับ