วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลากกระเป๋า...ลุยเดี่ยวฮอกไกโด ตอน 3 : ซากุระบาน ที่ โอตารุ เมื่องแห่งความโรแมนติค

บ่ายวันที่ 9 พ.ค. เราจะไปเที่ยวเมืองแห่งขนมหวาน และความโรแมนติด เมืองโอตารุ กันครับ

"โอตารุ เป็นเมืองท่าที่สวยงาม ดื่มด่ำกับบรรยากาศโรแมนติค และขนมหวานชื่อดัง นั่งรถไฟจาก ซับโปโรไป ประมาณ 40 นาที  ตัวเมือง สามารถเดินเที่ยวได้ สบายๆ ครับ"

 จาก สวนโอโดริ มาถึง สถานี JR Sapporo เกือบบ่าย รีบตรงไปซื้อตั๋วรถไฟ ซึ่งการไปครั้งนี้ เราจะใช้ Otaru Welcome Pass ราคา 1,700 เยน ซึ่ิงขายเฉพาะนักท่องเที่ยว ประกอบไปด้วยตั๋วรถไฟ JR ไป - กลับ โอตารุ - ซับโปโร (ใช้เดินทางในวันที่ซื้อ) และ ตั๋วขึ้นรถไฟใต้ดิน 1 วันไม่จำกัดเที่ยวใช้วันไหนก็ได้ ขายเฉพาะนักท่องเที่ยว ก่อนซื้อจะขอดู Passport ก่อนครับ แนะซื้อที่ Tourist Information ใน JR Sapporo เพราะเจ้าหน้าที่พูดอังกฤษคล่องหน่อย "ที่ญี่ปุ่นนี่ภาษาอังกฤษไร้ความหมายครับ คนส่วนใหญ่พูดไม่ค่อยได้ และฟังประโยคยาวไม่ค่อยออก เก่งอังกฤษไปคือ ศูนย์ ต้องพูดไปเป็นคำๆ ชัดๆ บวก ภาษามือกันไป"



หน้าตาตั๋วรถไฟ JR ครับ ใส่ตอนเข้าสถานี ใช้เสียบตรงประตูอัตโนมัติ เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราครับ


- รถไฟ JR จะมีตู้ให้ขึ้น  2 แบบ คือ Reserved คือที่นั่งแบบจองก่อน (เสียตังเพิ่ม) และ แบบ Non-Reserved คือตู้แบบ ไม่จอง ขึ้นไปเลือกที่นั่งกันตามสบาย ถ้าไม่มีก็ยืนครับ ก่อนขึ้นดูให้ถูกว่า ตู้ไหนเป็นแบบไหนครับ  สำหรับตั๋ว โอตารุเรา ขึ้นได้เฉพาะที่นั่งแบบ Non-Reserved ครับ

- รถไฟไป โอตารุจะมี 2 แบบครับ คือ 
  - สาย Rapid Airport  อันนี้มีตู้แบบ Reserved  ด้วย ใช้เวลาประมาณ 32 นาที (เวลานี้จะเปะมาก ไม่มีเลท สำหรับรถไฟญี่ปุ่น  ดังนั้นขึ้นรถไฟญี่ปุ่น อย่าเอ้อระเหย แบบในเมืองไทยครับ )
   - สาย Local อันนี้หวานเย็น จอดทุกสถานนี้ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีครับ

- เข้าไปในสถานี เวลาป้ายบอกชานชลา จะเป็นไฟสีต่างๆ ภาษาญี่ปุ่น และกระพริบ เป็นภาษาอังกฤษ สำหรับวันนี้เราไป โอตารุ ง่ายหน่อย เพราะรถไฟสุดสายที่ โอตารุ ดูป้ายที่เขียน โอตารุ ขึ้นชานชลาที่เท่าไหร่ ก็ไปตามนั้น แต่ถ้าเราลงกลางทาง ก็ต้องดูสถานีที่รถไฟไปสิ้นสุด เช่น ไปโนโบรึเบทสึ ต้องดูรถไฟที่ไป ฮาโกดาเตะเป็นต้นครับ


สถานี JR โอตารุ เป็นสถานีเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก

ไปโอตารุครั้งนี้ ขึ้นรถไฟ Local ไปครับ เพราะมันออกเร็วสุด จะเป็นที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน แบบรถไฟฟ้าบ้านเรา มีช่วงที่วิ่งขนาบทะเล สวยมากครับ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะ คนในรถเยอะมาก 

ถึง โอตารุ ประมาณ บ่าย 2 โมง ภารกิจแรก คือ หาข้าวกินที่ตลาดปลาโอตารุ ก่อนออกสถานี หยิบแผนที่ท่องเที่ยวติดมือมาด้วย เป็นแผนที่ที่ดูยากมาก งงสุดๆ  ออกจากสถานีมาเจออากาศ 11 องศากว่าๆ แถมลมแรงกว่าที่ซับโปโร หนาวจับจิตครับ 

รีบเดินไปหาตลาดปลา แล้วก็หลงอีกรอบ ออกจากสถานีดันเลี้ยวขวาไปทางสถานีรถบัส เดินไป 5 นาทีไม่เจอสักที เห็นเค้าบอกอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าเลย  ถามเด็กนักเรียนแถวนั้นก็ งงๆ เราดันไม่รู้ชื่อตลาดปลาอีกว่าชื่ออะไร  ถามไปถามมาหลายคน สรุป มันอยู่ใกล้ๆ แค่เนี่ย ออกจากสถานี้ไฟ หันซ้าย จะเห็นเนินเป็นบันไดขึ้นไป เดินขึ้นเนินไป เจอเลย  5555 หลงไปซะไกล


ตลาดปลา โอตารุ เป็นตลาดเล็กๆ ขายของสด และมีร้านขายข้าวหน้าอาหารทะเลหลายร้าน เลยเลือกเข้าร้านในรูป เห็นมีรูปอาหารเยอะดี 

โชคดีเจอเจ้าของร้านพูดอังกฤษเก่งมากที่สุด 


อาหารมื้อแรกใน ญี่ปุ่น เป็นข้าวหน้าอาหารทะเลสดๆ ให้เลือก 4 อย่าง จาก 9 อย่างในเมนู ซึ่งเด็ดๆทั้งนั้น ราคา 2300 เยน  เลยเลือก เนื้อปูสด, ไข่หอยเม่น, ไข่ปลาแซลมอน อย่างสุดท้ายเลือก ปลาแซลมอน เจ้าของร้านบอกมันไม่เด็ดที่ญี่ปุ่น แซลมอนมันกินได้ทั่วไป (ชีพูดอังกฤษเก่งมาก) แกเลยแนะนำให้สั่งกั้งสด เพิ่มตังอีกนิดหน่อย เลยเชื่อแก เพราะผมมันคนใจง่าย



สรุปเลยได้หน้าตาข้าวหน้าทะเลแบบนี้  ซึ่งอร่อยสุดๆ อาหารทะเลสดมากๆ เมืองไทยคงหากินแบบนี้ยาก ฟินไป 1 มื้อ ในราคาไม่เบา 2800 เยน (แพงเพราะกั้งเจ๊แกนะแหละ)  ตอนคิดเงินที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่เค้าจะเอาบิลมาวางไว้ที่โต๊ะ และต้องคว่ำบิลด้วย (เจอทุกร้าน) แล้วให้เราเอาบิลไปจ่ายตรงที่เก็บเงินเอง  ขนาดร้านนี้เล็กๆ มีประมาณ 5 โต๊ะ ยังจ่ายแบบนี้ (ต่อไปจะเจอทุกร้านจนชิน) สุดท้ายแกก็แจกนามบัตร บอกแนะนำร้านให้ด้วย แต่จนใจนะเจ๊ เพราะนามบัตรร้านเจ๊มีแต่ภาษายุ่นนะ

อิ่มท้องแล้ว เดินเที่ยวต่อ จากสถานี JR โอตารุ เดินตรงไป เรื่อย จะเจอคลอง โอตารุ นี่คือเป้าหมายต่อไปของเรา




บรรยากาศท้องถนน ในโอตารุ  เมืองท่าเล็กๆ เงียบยิ่งกว่าซับโปโร มาก

เดินไปเรื่อยๆ หันไปเห็นฝั่งตรงข้าม เป็นทางรถไฟสายเก่า เมือง โอตารุ แวะไปเที่ยวซะหน่อย


เดินเล่นๆ ทางรถไป เจออีกแล้วครับ ซากุระ ที่เราตามหา

สำหรับที่โอตารุ เราจะพบเห็นต้นซากุระได้ ทั่วไป เหมือนต้นไม้ธรรมดา ตามท้องถนน และสามารถเข้าไป ดูได้ใกล้ชิด และฟิน กว่า ที่ ซับโปรโร เยอะครับ 







ฟินมั้ยละครับ ซากุระ ที่ตามหา




เดินต่อไป ถึง 4 แยก ตรงข้ามคลอง โอตารุ  หันไปเห็น ร้านนี้ 


ขนม ครัวซองไทยากิ หรือ ครัวซองปลา เมืองไทย ที่ เอ็มควอเทียร์คนต่อแถวซื้อเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กิน แต่ที่นี่ ไม่มีคนกินเลย แม้แต่คนเดียว 555  ของลองสักอันละกัน



เหมือนกันทั้ง รสชาติ ขนาด แต่ดันแพงกว่าบ้านเรา 230 เยน แถมไม่ร้อนอีกต่างหาก คงทำไว้สักพัก ที่นี่อากาศมันเย็นมากๆ 

กินเสร็จ ได้เวลาข้ามไป คลองโอตารุ 



ถึงคลอง โอตารุ เกือบบ่าย 4 แล้ว 11 องศา หนาวมาก ลมแรงอีกด้วย

"คลองโอตารุ เป็นจุดโรแมนติค ที่ทุกคนๆที่ มาเมืองโอตารุ ต้องมาเยือนกันทุกคน บรรยากาศสวยงาม โรแมนติด ในทุกๆฤดูกาลที่มาเยือน" 





นักท่องเที่ยว ญี่ปุ่น ต่างชาติ นิยมมาถ่ายรูป ต้องมุมนี้เท่านั้น (เพราะมันมีมุมเดียว) โชคดี        ผมถ่ายเสร็จ เจอทัวร์ลง คนบานเลยครับ 




ชมบรรยากาศสวยๆ ของคลองโอตารุ

แถวคลอง โอตารุ ก็มีซากุระ อยู่หลายต้น แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะเริ่มชินกับ ซากุระ 555

จุดหมายต่อไป คือ ร้าขนม LeTao (เลอเตา หรือ เลอตาโอะ) ร้านชีสเค้กในตำนานของ โอตารุ ซึ่งในเมือง โอตารุ จะมีร้าน  LeTao อยู่หลายร้านมาก แต่ร้านที่เราจะไปเป็นร้านใหญ่ อยู่ตรงข้าม พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี 

เส้นทางไป เราเดินเลียบคลอง ไปทางทิศใต้ (คลองอยู่ด้านซ้ายมือ) ประมาณเกือบกิโลนึง ก็จะเจอ



ถึงแยกนี้ ตึกที่เห็นคือ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี  หันหลังกลับมาจะเจอร้าน LeTao (ร้านที่มีหอคอยสูงๆ)




เข้าไปจะเจอขนมของฝากให้ซื้อมากมาย แต่จุดมุ่งหมายเรา คือมาชิม ชีสเค้ก เดินขึ้นชั้น 2 ไป จะเป็น คาเฟ่ ให้นั่ง ชิว ดื่มกาแฟ กินเค้ก




มีเมนูให้เลือก ขนมเค้ก 1 ชิ้น + เครื่องดื่ม  864 เยน (เห็นมั้ย ญี่ปุ่นแท้ ขายราคาต้องมีเศษตังเสมอๆ 55)


มา LeTao ทั้งทีต้องสั่ง Double Fromage Cheesecake เค้กในตำนาน อร่อยจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้  (แต่ชิ้นเล็กมาก ใหญ่กว่า ทอฟฟี่เค้ก สวนดุสิต นิดเดียวเอง)


ส่วนกาแฟเย็น ญี่ปุ่นนี้ มาในรูปแบบ โอเลี้ยง มีนม กับ Syrup ให้ใส่ตามรูป บอกตามตรง อย่าสั่งดีกว่าครับ ไม่โอเค   Double Fromage Cheesecake มีให้ซื้อกลับบ้านนะครับ แต่อยู่ได้ไม่นาน ต้องรีบกิน มันจะไม่อร่อย  เลยไม่ซื้อกลับไป เพราะที่ รร. ไม่มีตู้เย็นซะด้วย


ชูครีม ร้านนี้น่าลองมาก แต่ช่วงนั้นอิ่ม ไม่อยากกินอะไร


มาเดินดูร้านต่างๆ ในย่านนี้ มีร้านขนม เยอะมาก ให้เลือกกัน เป็นสวรรค์ของคนรัก ขนม เลยทีเดียว

เวลาก็ปาเข้าไป 5 โมงกว่าๆ แล้ว จุดหมายต่อไป ต้องตัดสินใจว่าจะเข้า พิพิธภัณฑ์ กล่องดนตรี หรือดูซากุระที่จุดชมวิว ศาลเจ้า Suitengu ซึ่งเห็นในรูป ซากุระสวยมาก ในเมื่อเรามาตามล่าซากุระ ที่นี้เลยเลือกไปที่ จุดชมวิว ศาลเจ้า Suitengu  ซึ่งทางไป ซับซ้อนเล็กน้อย


จากแยกเดิม หันทางขวาจะเจอไปรษณีย์  เดินเข้าถนนข้างไปรษณีย์ เดินไปนิดนึง จะเจอทางแยกขวาเป็นทางขึ้นเขาสูง


เจอทางแบบนี้ คือทางไปศาลเจ้าถูกละ ทางสูงชันมาก เดินยากหน่อย มีคนญี่ปุ่นข้างทาง ยกนิ้วให้กำลังใจ 2-3 คน
สุดทางเจอบันได ศาลเจ้าคือใกล้ถึงแล้ว


มองย้อนไปเดินขึ้นมาสูงมาก วิวสวยดี

และแล้วก็มาเจอ ซากุระ บนศาาลเจ้า...แต่พบว่า....................



ซากุระ ร่วงหมดแล้ว เหลือต้นเดียวทางซ้าย (ไอ้ที่สวยในรูปไม่เหลือแล้ว)

เก็บวิวสวยๆ มาฝากละกันครับ







ขณะนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 6 โมงครึ่งแล้ว ได้เวลากลับ Sapporo จาก ศาลเจ้า เราจะเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Minami Otaru จะเดินใกล้กว่า กลับไป สถานี โอตารุ ครับ

รถไฟกลับเที่ยวล่าสุด เป็น Rapid airport มาถึงเวลา ทุ่มครึ่ง  ขึ้นตู้ Non-Reserved เหมือนเดิมว่างมาก เลือกที่นั่งตามสบาย

ถึง Sapporo แวะกลับไป เช็คอินที่ รร.ก่อน  แล้วค่อยไปหาอะไรกิน







Toyoko Inn Hokkaido Sapporo-eki Minami-guchi เป็นบิสิเนส โฮเทล ราคาไม่แพง ห้องขนาดกะทัดรัด สไตล์ญี่ปุ่นครับ อะไรดูเล็กไป หมด กระเป๋าเดินทางเก็บใต้เตียงได้ครับ  ที่สำคัญ แอร์ไม่ต้องเปิด เพราะอากาศในห้อง อุ่นกำลังพอดีละครับ

จากนั้นเปลี่ยนชุดเล็กน้อย ใสเสื้อเพิ่มเป็น 3 ชั้น + ผ้าพันคอ เตรียมฝ่าอากาศหนาวไป กินข้าวเย็นกันครับ

จุดมุ่งหมายของเราคือ Sapporo Ramen Kyowakoku ศูนย์รวมร้านราเมงขึ้นชื่อของ ฮอกไกโด ที่ตึก Esta ติดกับ สถานี  JR Sapporo

ไปไม่ยากครับ ตึก Esta จมีทางเชื่อมต่อใต้ดินกับ JR Sapporo แต่ไปยากอยู่ วิธีไปง่ายๆคือ เริ่มจากไป JR Sapporo เดินออกไปทางออก South ทางซ้ายมือจะเห็นตึก Esta เดินขึ้นบันไดทางเชื่อมจะเข้าสู่ ชั้น 2 ตึกEsta กดลิฟท์ ขึ้นไปชั้น 10 ก็จะเจอ  Sapporo Ramen Kyowakoku  เปิดบริการถึง 4 ทุ่มครับ 

"ตึก Esta เป็นตึกห้างสรรพสินค้า ที่แต่ละชั้นจะมีสินค้าให้บริการแตกต่างกันไป ปกติปิด 3 ทุ่ม แต่ชั้น 10 ที่เป็นชั้นอาหารเปิดถึง 4 ทุ่มครับ ใครที่ชอบหยอดตู้ กาชาปอง ที่ชั้น 1 มีตู้กาชาปอง เรียงรายให้หยอดเป็นร้อยตู้ครับ เลือกตามสบาย ผมไปหยอด Fujiko มา 2-3 ลูก ครับ"


เลือกไม่ถูกเลยครับ  ตัดสินใจเลือกร้าน เบอร์ 4  


พร้อมเพิ่มไข่อีก 1 ฟอง  ราเมนรสชาติดี อร่อย ชามใหญ่  ฟินกันไปมื้อนี้ หมดไป 900 เยนครับ

ขากลับ แวะกดตู้ กาชาปอง  กลับห้อง พัก เปิดน้ำอุ่นแช่ สบายตัวมาก ก่อนนอน วิดีโอ คอล ผ่านไลน์ คุยกับที่บ้านนิดนึง  ก่อนเข้านอน เตรียมไปลุย โนโบริเบทสึ ในวันต่อไปครับ

รอติดตาม ตอน 4 : มิตรภาพเบ่งบาน ...ที่เมืองออนเซ็น.... โนโบริเบทสึ ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น