.....และก็ได้เฮ เมื่อ Thai Air Asia X ประกาศญี่ปุ่นอนุญาตให้บินได้ตั้งแต่ 1-30 พ.ค. โดยเปลี่ยนจาก เครื่องบินรหัส XJ ของไทย เครื่อง รหัส D7 เป็นยานแม่จากมาเลเซีย บินแทน
และแล้วก็ถึงวันเดินทาง บ้านอยู่ใกล้ดอนเมือง เลยสบาย นั่งแท็กซี่ไป ซิวๆ ถึงสนามบินประมาณ 3 ทุ่ม
โปรโมท The Mall Sky Port ฝั่งอินเตอร์ หน่อย
เครื่องออกดึก ฝั่ง อินเตอร์ เหงามาก ไม่ค่อยมีคน
เครื่อง ออก 23.10 น. ตรงเวลา ไม่มีดีเลย์ เนื่องจากเป็นยานแม่จาก มาเลเซีย เราก็เลยได้กัปตัน มาเลเซีย และ แอร์ มาเลเซีย ไทย และมี ญี่ปุ่นคนนึง ที่เห็นในรูปเป็น น้องแอร์มาเลเซียจร้า ไฟล์นี้คนไทยล้วนๆ หาต่างชาติแทบไม่เจอสักคน ทั้งเครื่องไปญี่ปุ่น
ไฟลท์นี้ โชคดี ได้นั่งริมทางเดิน แต่คนที่นั่งด้วย 2 คน ย้ายไปนั่งที่อื่น เลยสบาย ได้นั่งคนเดียว รีบนอนก่อนเลยเพราะ เป็นไฟท์ดึก ถึงเช้า นั่งยาว 7 ชม. แถม ที่นั่งก็ไม่ได้ใหญ่นั่งสบายมากมาย ออมกำลังไว้เที่ยวดีกว่า
ประมาณ ตี 5 (เวลาญี่ปุ่น) ตีสามบ้านเรา ก็มีการปลุกมากินอาหารที่สั่งไว้ ในรูปเป็น อาหารเช้าแบบตะวันตก สั่งในเว็บ แถมน้ำขวดนึง รถชาติก็ โอเค พอใช้ได้
บรรยากาศบนเครื่อง (หลังจากไปถึงญี่ปุ่นถึงรู้ว่า มันเช้าเร็ว ตี 5 ก็แดดออกแล้ว) หลังกินข้าวก็จะมีการแจกใบเข้าเมืองญี่ปุ่น กับใบศุลกากร ให้กรอก ใครกรอกไม่เป็น ไม่ต้องอาย ไปต่างประเทศ ไม่ต้องทำเก๋าครับ ไม่รู้อะไรถามคนอื่นโลด ส่วนผม กางหนังสือที่ซื้อมา มีบอกวิธีกรอกไว้ในหนังสือ
บรรยากาศด้านนอก
กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ ออกมาถึงประมาณ 8 โมงกว่าๆ สัมผัสแรกที่รู้สึกคือ สนามบิน นิวชิโตเสะ ฝั่งอินเตอร์ เงียบเหงามาก ตั้งแต่เคยลงเครื่องมา มีสนามบินเนี่ยที่มันไม่มีคนเลย เงียบสนิท
ให้ชาวบ้านถ่ายรูปให้หน่อย เดียวไม่รู้ว่ามาถึง เจอโดเรม่อนตัวแรก ตื่นเต้นมาก แต่จากนั้น จะเบื่อโดเรม่อนไปเลย เพราะมีอยู่เต็ม สนามบิน และ มี โดเรม่อน Sky Park อยู่ชั้น 3 ซึ้งเด่วจะมาเที่ยวในวันสุดท้าย
อุณภูมิตอนไปถึงประมาณ 10 องศา ซึงชาว Pantip อีกแล้ว บอกว่า เย็นสบายๆ แต่งตัวเหมือนไป เชียงใหม่ เอาอยู่ วันนี้เลยใส่แค่ เสื้อยืด เสื้อกันหนาวทับ 2 ชั้น อยู่ในสนามบิน มันอุ่น เลยยังไม่รู้สึกอะไร แต่จากนั้น .............
ทางเดินจากฝั่ง อินเตอร์ ไป ฝั้งในประเทศ ซึ่งเริ่มได้เจอคน คึกคักขึ้นมาหน่อย
มุ่งหน้าไป สถานีรถไฟ JR ชั้น B1 นั่งรถไฟไป Sapporo
จริงๆ แล้ว สนามบิน นิว ชิโตเสะ อยู่ในเมือง ชิโตเสะ ไปซับโปโร ต้องนั่งรถไฟ ไปประมาณ 40 นาที ซึ่งรถไฟใน ฮอกไกโดทั้งหมดจะเป็นของ JR ไม่มีรถไฟของเอกชน หลายสายให้ยุ่งยาก เหมือนเมืองอื่นๆ
สำหรับทริปนี้ไปแค่ 3 วัน เลยไม่ได้ซื้อ JR Pass Hokkaido เพราะคำนวณแล้วค่ารถถูกว่า สำหรับค่ารถไฟไป Sapporo ราคา 1,070 เยน ให้แบงก์ไป เริ่มได้ทอนมาเป็นเหรียญ ไอ้เหรียญที่ญี่ปุ่นนี่มันมีเยอะมาก มาใหม่ๆ จะงงๆก็บการใช้เงินเหรียญ ซึ่งที่นี่จำเป็นต้องใช้เหรียญตลาดเวลาซะด้วย
ประมาณ 9 โมงกว่าๆ ถึง สถานีรถไฟ JR Sapporo
สำหรับ สถานี JR Sapporo ถือเป็นหัวใจของการคมนาคม ในฮอกไกโด และ Sapporo นอกจาก รถไฟ JR ไปทั่วทั้ง เกาะ แล้วยังเป็น สถานี Subway สายหลักอีก 2สาย ขนาบข้างด้วยตึกห้างไดมารู, JR Tower, ตึก Esta และห้างสรรพสินค้าใต้ดินอีกมายมาก เป็นแหล่งรวมของผู้คนใน ฮอกไกโดเลยทีเดียว
บรรยากาศบ้านเมืองใน Sapporo คน และรถ จะไม่ค่อยพลุกพล่าน
ออกจาก JR Sapporo จะไปโรงแรม ก็พบกับคำว่าหลงทางครั้งแรก เพราะออกผิดประตู โรงแรมบอกให้ออกประตู North แล้วเดินประมาณ 5 นาทีถึง โรงแรม แต่ไอ้ประตู North จริง มันมี 2 ฝั่ง คือ ฝั่ง West กับ East ที่ถูกคือต้องออกฝั่ง west เราดันไปออกฝั่ง east เดินหลงอยู่ซะนาน ดีที่ซื้อ Sukoi Sim มาใช้ต่อเน็ท ดูแผนที่ หาทางไป ม. ฮอกไกโด เพราะโรงแรมมันอยู่ฝั่งตรงข้าม ม. เลยได้มีโอกาสเดินเล่นชมเมืองกันไป
ออกมาเจออากาศข้างนอก อยากบอกว่า 10 องศา สำหรับเรานี้มันหนาวสุดๆ แถมที่ญี่ปุ่นยังมีลมแรงๆ อีกด้วย ไอ้ชุดที่ใส่มา เอาไม่อยู่ แต่ต้องทนเอา เดินตากแดดเข้าไว้ มันจะอุ่นกว่า
เจอซะที โรงแรม Toyoko Inn Hokkaido Sapporo-eki Minami-guchi ชื่อยาวโคดๆ ถึงประมาณ 9.30 น. เข้าไปจ่ายเงิน แต่เช็คอินได้ตอนบ่าย 2 โมง เลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วออกมาเที่ยวก่อน
แนะนำใครจะพัก รร.เครือ Toyoko Inn ให้สมัครสมาชิกที่หน้าเคาเตอร์ราคา 1500 เยน จะได้บัตรสมาชิกตลอดชีพมา ใช้เป็นส่วนลด วันเสาร์ลด 5 % วันอาทิตย์ ลด 20 % พัก 10 ฟรี 1 ใช้ลดห้องพักได้ทันทีเลยด้วย (ผมพักทั้ง เสาร์ อาทิตย์ ได้ลดเยอะอยู่)
สำหรับโปรแกรมในวันที่ 9 พ.ค. ช่วงเช้า เราจะเที่ยวใน Sapporo ครึ่งวัน ด้วยการเดินเป็นหลัก
เดินจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาที จะเจอกับ ศาลาว่าการหลังเก่า หรือตึกแดง
และแล้วเราก็ได้พบกับ สิ่งที่เราตามหา "ซากุระแรกที่ ฮอกไกโด"
ตื่นเต้นเกินคำบรรยายกับ ซากุระแรกในชีวิตที่ได้เจอ
เอารูปสวยๆ ไปดูกันครับ
นอกจากนี้ยังมีดอก ทิวลิป สวยๆ และในตัวตึกยังมีนิทรรศกาลต่างๆ ที่สามารถเข้าไปดูได้ฟรี ครับ
ภายในตึกแดง
และแล้ว ก็หลงทาง อีกรอบ จากตึกแดง จะเดินไปสวน โอโดริ แต่ดันเดินผิดทิศ เดินอยู่นานเป็น 10 นาที ทำไมยังไม่ถึงสักที งัด GooGle Map มาใช้มันก็เอ่อๆ เลยตั้งสติ หยิบแผนที่ในหนังสือมาดู แล้วหาทิศทางใหม่ เดินไป เดินมาก็ได้มาเจอ .... Sapporo TV Tower ที่อยู่เหนือ สวนโอโดริ
Sapporo TV Tower เราสามาถขึ้นไปชมวิวได้ โดยขึ้นลิฟท์ไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 ราคา 720 เยน (ราคาของที่ญี่ปุ่นมักจะมีเศษตังเสมอ 325, 670, อะไรประมาณนี้ ต้องบริหารการใช้เหรียญให้ดี แรกๆ อาศัย กำเหรียญแล้วยื่นไปให้เค้านับให้) วัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเราอีกอย่าง คือญี่ปุ่นเค้าจะไม่รับเงินจากมือ เค้าจะมีถาดให้ใส่เงินเวลาจ่ายเงินให้วางเงินลงไปในถาดเสมอทุกๆที แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อ
บรรยากาศเมือง Sapporo จากบน Sapporo TV Tower ดูแล้วเหมือนเมืองร้าง คน + รถ น้อยมากๆ
มุมนี้เป็นไฮไลท์ เป็นมุมที่มองเห็น สวนโอโดริ สวนสาธารณะ ใจกลางเมือง Sapporo ที่ ยาวกว่า 1.5 กม.
มุมเปรียบเทียบความสุงของหอคอยต่างๆ ในญี่ปุ่นของที่นี่ สูง 147.2 เมตร สูงเป็นอันดับ 2 ด้านบนยังมีของที่ระลึก ของฝากจากฮอกไกโดให้ช้อปกันมากมาย
ซื้อบัตรขึ้นชมหอคอย เค้าแจกบัตรลดราคา ไอติมด้านล่างๆไหนๆมาแล้วก็ตองกินซะหน่อย ไอติมจากนมฮอกไกโดถือเป็นสุดยอดที่ห้ามพลาด แม้อากาศจะ 10 องศาก็บ่ยั่น
จากนั้นเดินชมบรรยากาศสวนโอโดริกัน
เดินมาถึงท้านสวน เจออีกแล้ว ซากุระ (เริ่มตื่นเต้นน้อยลง)
มุมสวยๆของ สวนโอโดริยังมีอีกเยอะ ครับต้องมาดูเองกับตา
และที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือน สวนโอโดริ ต้องชิม ข้าวโพดปิ้ง ฝักละ 300 เยน อร่อยมาก สุดๆเลยละ
เดินเล่นจนเที่ยงกว่า อากาศยัง 11 องศา สุดๆจริงๆ ฮอกไกโด นี่ เป้าหมายต่อไปคือ ข้ามเมืองไปเที่ยว เมืองโอตารุ เมืองแห่งของหวาน ขากลับ เดินไม่ไหวแล้ว ขอลง Subway ไป สถานี JR Sapporo เพื่อต่อรถไฟไป โอตารุ ซึ่งจริงๆ แล้ว สถานีรถไฟใต้ดิน โอโดริ ห่างจาก สถานีรถไฟใต้ดิน ซับโปโร แค่สถานีเดียว ค่ารถ 200 เยนเอง
จบตอนนี้ก่อน แล้วเจอกันตอนต่อไป...ซากุระบาน ที่ โอตารุ เมืองแห่งความโรแมนติค
เข้ามาดูทริปฮอกไกโดครับ
ตอบลบ